|
บันทึกจากเจ้าอาวาส |
|
เรื่อง...ปัณฑิตกถา
ว่าด้วยบัณฑิต
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ
ทิฏฺเ ธมฺเม จ โย อตฺโถ โย จตฺโถ สมฺปรายิโก
อตฺถาภิสมยา ธีโร ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจตีติ
(สํ.ส.๑๕/๓๘๐/๑๒๖)
ณ บัดนี้จักรับพระราชทานถวายวิสัชนาพระธรรมเทศนาในปัณฑิตกถา ว่าด้วยบัณฑิตฉลองพระเดชพระคุณประดับพระปัญญาบารมี อนุรูปแก่การบำเพ็ญพระราชกุศลสัตตมวาร ๗ วัน พระราชทานอุทิศแก่ท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร ผู้ถึงแก่อนิจกรรม
ทั้งนี้ โดยทรงมีพระอนุสรณ์รำลึกนึกถึงคุณูปการที่ท่านท่านผู้หญิงได้บำเพ็ญไว้เป็นอเนกประการในยามที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงทรงพระกรุณาโปรดบำเพ็ญพระราชกุศลสัตตมวารในวันนี้
เหตุที่มีพระมหากรุณาธิคุณบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศให้ในครั้งนี้ก็เพราะคุณงามความดีของท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร ในยามที่มีชีวิตอยู่เป็นผู้ประกอบด้วยคุณลักษณะ
๒ ประการ ก็คือ อัตตหิตสมบัติ และ ปรหิตปฏิบัติ
คุณลักษณะส่วนอัตตหิตสมบัติ คือคุณสมบัติส่วนตนอันเกิดจากการฝึกฝนอบรมตนเองด้วยการศึกษาในระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย นอกจากนี้ ท่านผู้หญิงได้อุทิศตนบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่นที่เรียกว่า ปรหิตปฏิบัติ ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ภริยาของจอมพลถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ ๑๐ ของประเทศไทยได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งทำหน้าที่แม่ที่ดีผู้อบรมเลี้ยงดูบุตรธิดาทั้ง ๖ คนให้เจริญเติบใหญ่เป็นที่พึ่งแก่ตนเองและสังคม ในขณะที่สามีดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่านผู้หญิงจงกล
กิตติขจรก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ภริยาผู้สนับสนุนให้งานของสามีดำเนินไปอย่างดีด้วยการอุทิศตนบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคมนานาประการ เช่น เป็นประธานคณะกรรมการหาทุนของมูลนิธิราชประชาสมาสัย เป็นประธานมูลนิธิช่วยเหลือนักเรียนที่ขาดแคลน ที่สำคัญคือเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก ซึ่งต่อมามูลนิธินี้ได้อยู่ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
คุณลักษณะส่วนปรหิตปฏิบัติอีกประการหนึ่งของท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร คือการปฏิบัติหน้าที่ภริยาคู่ทุกข์คู่ยากผู้ยืนหยัดเคียงข้างสามีตลอดเวลาแม้ในยามที่สามีถูกโลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนามากระทบถูกต้อง ช่วยกันประคับประคองชีวิตให้ผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ ไปได้ ช่วยดูแลรักษาใจของกันและกันให้หนักแน่นมั่นคง
มิได้ผันผวนขึ้นลงไปตามโลกธรรมที่มากระทบถูกต้อง สอดคล้องต้องตามพุทธภาษิตที่ว่าสุเขน ผุฏฺา อถวา ทุกฺเขน น อุจฺจาวจํ ปณฺฑิตา ทสฺสยนฺติ แปลความว่า ไม่ว่าได้รับสุขหรือทุกข์ บัณฑิตไม่แสดงอาการขึ้นๆ ลงๆ สมดังภาษิตอุทานธรรมที่ว่า
สุขและทุกข์มีอยู่คู่กับโลก จะย้ายโยกแห่งหนตำบลไหน
จะสุขบ้างทุกข์บ้างช่างเป็นไร จะทำใจให้เศร้าไม่เข้าการ
คำว่า บัณฑิต ในทางพระศาสนาหมายถึงผู้มีปัญญาทั้งในทางโลกและในทางธรรม
ปัญญาในทางโลกหมายถึงความรู้ในการประกอบอาชีพการงานจนมีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว ส่วนปัญญาในทางธรรมหมายถึงความรู้ที่ช่วยประคองชีวิตให้อยู่ในทำนองคลองธรรมและช่วยให้รอดพ้นจากการถูกความทุกข์ขบกัด บัณฑิตที่แท้จริงจึงเป็นบุคคลที่ได้ทั้งประโยชน์ภายนอกและประโยชน์ภายใน ดังพระบาลีนิกเขปบทที่ยกไว้ ณ เบื้องต้นที่ว่า ทิฏฺเ ธมฺเม จ โย อตฺโถ เป็นต้น แปลความว่า คนมีปัญญา ท่านเรียกว่าบัณฑิต เพราะรู้ประโยชน์สองประการ คือ ประโยชน์เฉพาะหน้า และประโยชน์ระยะยาว
ประโยชน์เฉพาะหน้า คือทรัพย์ภายนอกที่ได้จากความรู้ในการประกอบอาชีพ
ประโยชน์ระยะยาว คือทรัพย์ภายในหรืออริยทรัพย์ที่ได้จากความรู้ในทางธรรม
บัณฑิตคือคนที่รู้จักแสวงหาประโยชน์ ๒ ประการ คือ
ทิฏฐธัมมิกัตถะ คือ ประโยชน์ปัจจุบันเฉพาะหน้า
สัมปรายิกัตถะ คือ ประโยชน์ระยะยาวหรือประโยชน์ชั้นสูง
ประโยชน์ปัจจุบันเฉพาะหน้าเป็นเรื่องของการแสวงหาทรัพย์ภายนอกที่เนื่องด้วยโลกธรรมที่น่าปรารถนาคือลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ส่วนประโยชน์ที่สูงกว่านั้น หรือประโยชน์ระยะยาวเรียกว่าสัมปทาหรือสมบัติ ๔ ประการ คือ
๑. สัทธาสัมปทา สมบัติคือศรัทธา
๒. สีลสัมปทา สมบัติคือศีล
๓. จาคสัมปทา สมบัติคือจาคะ
๔. ปัญญาสัมปทา สมบัติคือปัญญา
ขอรับพระราชทานถวายวิสัชนาต่อไปว่า เมื่อบัณฑิตมีสมบัติภายในทั้ง ๔ ประการนี้
เขาจะไม่แสดงอาการขึ้นลงเมื่อถูกโลกธรรมที่ไม่น่าปรารถนาคือเสื่อมลาภ เสื่อมยศ
นินทาและทุกข์มากระทบชีวิต ทั้งนี้เพราะสมบัติแต่ละอย่างช่วยสร้างความเข้มแข็งภาย
ในใจของบัณฑิต ดังนี้
สมบัติข้อที่ ๑ คือ ศรัทธา ช่วยให้บัณฑิตเชื่อมั่นความหมายของชีวิตว่าเกิดมาทำไม
และจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ชีวิตของบัณฑิตเป็นชีวิตที่มีอุดมการณ์เพราะมีศรัทธามั่นคงในเป้าหมายของชีวิต ดังคนที่ศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัยก็จะอุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนา
คนที่จงรักภักดีมั่นคงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก็จะอุทิศตนเพื่อปกป้องสถาบัน ชีวิตของบัณฑิตมีคุณค่าเพราะเขาได้ทำในสิ่งที่ศรัทธาและมีศรัทธาในสิ่งที่ทำ
สมบัติข้อที่ ๒ คือ ศีล บัณฑิตไม่หวั่นไหวไปกับคำนินทาหรือข้อกล่าวหาต่างๆ
เพราะเขาเชื่อมั่นในความประพฤติที่ดีงามตามครรลองแห่งศีลธรรมของตนเอง ศีลทำให้บัณฑิตภาคภูมิใจในชีวิตที่งดงามของตนเอง ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า สีลํ อาภรณํ
เสฏํ แปลความว่า ศีลเป็นอาภรณ์เครื่องประดับที่ประเสริฐสุด สมดังคำประพันธ์ที่ว่า
คนจะงาม งามน้ำใจ ใช่ใบหน้า
คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน
คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน
คนจะรวย รวยศีลทาน ใช่บ้านโต
สมบัติข้อที่ ๓ คือ จาคะ ได้แก่ความมีน้ำใจเสียสละเพื่อผู้อื่น ความเสียสละ
ของบัณฑิตย่อมไม่สูญเปล่าเพราะเขารู้จักเลือกคนที่เขาจะให้ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
วิเจยฺย ทานํ สุคตปฺปสตฺถํ แปลความว่า การเลือกให้ พระสุคตทรงสรรเสริญ มนาปทายี
ลภเต มนาปํ ผู้ให้สิ่งที่น่าพอใจแก่เขาย่อมได้สิ่งที่น่าพอใจตอบ ดังโคลงโลกนิติที่ว่า
ให้ท่านท่านจักให้ ตอบสนอง
นบท่านท่านจักปอง นอบไหว้
รักท่านท่านควรครอง ความรัก เรานา
สามสิ่งนี้เว้นไว้ แต่ผู้ทรชน
สมบัติข้อที่ ๔ คือ ปัญญา หมายถึงรู้เท่าทันความเป็นจริงของชีวิตว่า เป็นอนิจจังคือไม่เที่ยง ทุกขังคือทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และอนัตตาคือไม่มีแก่นแท้ถาวรคือบัณฑิต
รู้เท่าทันลักษณะทั้งสามอย่างนี้แล้วรู้จักปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น เขาก็ไม่ถูกความทุกข์ขบกัดชีวิต ดังมีเรื่องเล่าว่า ลุงคนหนึ่งเลี้ยงม้าไว้หนึ่งตัว เป็นม้าที่สง่างามปราดเปรียว
วันหนึ่งม้าตัวนั้นโดดหนีออกไปจากคอก หายเข้าไปในป่า เพื่อนบ้านต่างมาแสดงความเสียใจ
ลุงตอบทุกคนว่า “อะไรมันก็ไม่แน่”
ต่อมาไม่นาน ม้าตัวนั้นกลับมาที่คอกพร้อมกับพาม้าป่าตามมาด้วยอีกหนึ่งตัว
เพื่อนบ้านต่างมาแสดงความดีใจ
ลุงตอบว่า “อะไรมันก็ไม่แน่”
ต่อมาไม่นาน ลูกชายของลุงขึ้นควบม้าป่า ม้าป่าพยศทำเอาลูกชายของลุงตกม้าขาหัก เพื่อนบ้านต่างมาแสดงความเสียใจ
ลุงตอบว่า ”อะไรมันก็ไม่แน่”
อยู่ต่อมา กองทัพประเทศเพื่อนบ้านยกมาประชิดชายแดน ทางการเกณฑ์คนหนุ่มในหมู่บ้านไปเป็นทหาร ทุกคนไปแล้วไปลับไม่รอดชีวิตกลับมาสักคนเดียว ทั้งหมู่บ้านเหลือเด็กหนุ่มอยู่คนเดียวคือลูกชายของลุง ทางการไม่ยอมเกณฑ์เอาไปเพราะเขาขาหัก
ไม่ว่าได้รับสุขหรือทุกข์ บัณฑิตไม่แสดงอาการขึ้นลงเพราะ
(๑) มีศรัทธามั่นคงในสิ่งที่ทำ
(๒) มีความภาคภูมิใจในความเป็นคนดีมีศีลธรรมของตน
(๓) เมื่อล้มก็ยังมีคนช่วยประคองเป็นการตอบแทนจาคะคือความมีน้ำใจที่เคยเสียสละไว้ก่อน และ
(๔) มีปัญญา รู้จักปล่อยวางด้วยรู้เท่าทันความเป็นจริงของชีวิต
ในยามที่มีชีวิตอยู่ ท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร เป็นบัณฑิตผู้ได้ทั้งทรัพย์ภายนอกและทรัพย์ภายใน คือ ได้ทรัพย์ภายนอกจากการรู้จักซื้อขายที่ดิน จนสามารถสร้างบ้านและอพาร์ทเม้นท์ที่ซอยระนอง ๒ เขตดุสิตนี้ และได้ทรัพย์ภายใน คือศรัทธา ศีล จาคะและปัญญา ดังจะเห็นได้ว่านอกจากการเป็นประธานมูลนิธิต่างๆ แล้ว ยังได้สร้างพระพุทธชินราชจำลองไปประดิษฐาน ณ วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย และที่สำคัญคือใช้ปัญญากำกับชีวิตให้มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีจนกระทั่งละสังขารจากโลกนี้
ไปด้วยวัย ๙๖ ปี
ศรัทธา ศีล จาคะและปัญญานี้ ท่านเรียกว่า สัมปรายิกัตถะแปลว่าประโยชน์ในภายหน้า คือเป็นเสบียงบุญที่จะติดตามไปสู่ภพภูมิเบื้องหน้า ดังพระบาลีว่า ปุญฺานิ
ปรโลกสฺมึ ปติฏฺา โหนฺติ ปาณินํ แปลความว่า บุญเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในปรโลก สมดังคำประพันธ์ที่ว่า บุญเป็นเงาเฝ้าตามติด บุญเป็นมิตรในทุกที่ คอยช่วยเหลือเอื้ออารีห่างราคีปลอดโพยภัย บุญพิทักษ์บุญรักษา บุญนำพาพบสุขใส แม้ชีพลับดับล่วงไป
บุญส่งให้ถึงสวรรค์สุขาวดี
อิมินา กตปุญฺเน ด้วยอำนาจพระราชกุศลที่ทรงบำเพ็ญให้เป็นไปด้วยดีในหมู่สงฆ์พระราชทานอุทิศแด่ท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร ในครั้งนี้ ขอจงมารวมกันเป็นตบะเดชะพลวปัจจัยสำเร็จเป็นอิฏฐวิบากสุขสมบัติ ทิพยสมบัติในสัมปรายภพสมพระราชเจตนาปรารภทุกประการ
รับพระราชทานถวายวิสัชนาพระธรรมเทศนาในปัณฑิตกถา พอสมควรแก่เวลา
ขอสมมติยุติลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้
เอวํ ก็มีดัวยประการฉะนี้
|
|
|
|
|
|
|